CANSLIM

วันนี้ได้มีโอกาสพบเจอกับพี่ท๊อปมา มีโอกาสได้ศึกษาเรื่องราวของระบบ CANSLIM ที่ เป็นระบบนึงของพวก นลท Trend Follower เป็นระบบที่เชื่อว่า หุ้นแพง ก็มีแพงกว่า เอาไว้ดักจับเจ้าที่ทำราคาได้เป็นอย่างดี ส่วนใหญ่เหมาะกับหุ้นขนาดเล็ก บาทสองบาทยันสามสี่ห้าสิบ แต่ต้องไม่ใช่บลูชิพ
(หุ้นตลาดๆ ครอบครัวลุงปอ ไรงี้หมดสิทธิ์)
ก็ขอมาบันทึกไว้ กันลืม

หลักๆ ก็เหมือนในเล่ม How to make money in stock ของ O'Neil แต่นำมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับหุ้นไทย

ระบบนี้จะใช้กราฟวีคเป็นหลัก ประกอบไปด้วย
1.EMA5 เป็นจุด Take Profit ย่อยๆ
2.EMA10 เป็นจุดพักตัวของหุ้นหลังจากวิ่งขึ้นมา
3.EMA20 เป็นจุดที่แบ่งระหว่างกระทิงที่แข็งแรง และกระทิงที่ป่วย (หุ้นที่มุดใต้ EMA 20 ยังไม่ได้แปลว่าหมี แต่แปลว่ากระทิงป่วย ให้ขายทิ้งออกไปก่อนก็ได้เพราะยังไงก็ไม่วิ่งอยู่แล้วถ้าไม่สามารถยืนอยู่บนเส้นค่าเฉลี่ย 20 วีค ได้)
4.SMA200 เป็นเส้นที่แยกแยะระหว่างตลาดกระทิงและหมี ถ้าหลุดเส้นล่างนี้ลงไป ก็เลิกคบได้เลยนะจ๊ะ (ระบบนี้จะไม่มี Sideway นะครับ เล่นกันง่ายๆ แบ่งกระทิงกับหมีเนี่ยแหละ)
5.VolumeAVG10 เส้นค่าเฉลี่ยโวลุ่ม (การขึ้นหรือลงทุกครั้ง ถ้าโวลุ่มมากกว่าเส้นนี้จะ Significant สูง)
6.RSI14 เป็นตัววัดความแข็งแรงของเทรน ถ้าหุ้นเบรคเอาท์ตอนที่ RSI 70 แสดงว่าเทรนขาขึ้นแข็งแรงดี (10วัน ขึ้น 7)  - แต่จริงๆ แล้ว ถ้ามากกว่า 66.66 ก็แสดงว่ากระทิง Nominate หมีไปได้แล้ว 2/3 ในทางกลับกัน ถ้า RSI 40 แสดงว่าหมีแข็งแรงกว่ากระทิง 6 ต่อ 4 (ขึ้น 4 ลง 6 ) เริ่มไม่น่ายุ่งแล้ว แต่ถ้าลงไปถึง 30 ก็ถอยไปเล่นตัวอื่นดีกว่า
7.Bollinger band SD3.1 (ถ้าใครเรียนทางสถิติมาบ้าง อาจบอกได้เลยว่า โหวว โคตรกว้าง นั่นแหละครับ มันมีเหตุผล พอเวลาหุ้นตัวไหน ถูกซื้อมากๆ จนทะลุขึ้นไป มันมักไปไหนไม่รอดหรอก) เรียกว่าโบลิงเจอร์เมพเลยก็ว่าได้ แท่งไหนทะลุขึ้นไป มีลงมาตลอด (ขอเน้นว่าทะลุ นะ ถ้าแค่ไปถึง ยังไม่ทะลุ ก็โอเค) (ใช้แค่ Upper เท่านั้น Lower ไม่ได้ใช้)
8.MACD ใส่ไม่ใส่ก็ได้ ไม่สำคัญเท่าไรในระบบนี้

รูปแบบของ Chart Pattern ที่เล่น ส่วนใหญ่จะใช้แค่
Cup and handle (เบรคไฮเก่าแล้วเข้าซื้อ) - เป็นแนวต้านที่มีคนเก่าๆ ติดดอย พอใจที่จะขายอยู๋ ถ้าทะลุไปได้ ก็ไม่มีอะไรมากั้นไม่ให้หุ้นขึ้นได้อีก)
Dow Theory (หุ้นจะขึ้น ต้องมี Higher high&Higher low ถ้าจะลงก็ตรงกันข้าม)

ย้ำอีกครั้งว่าระบบนี้เล่นใน TF วีคเท่านั้น ทำให้เราไม่เหนื่อยในการติดตามหุ้นระหว่างวันมากๆ

นอกเหนือจากกราฟแล้ว สิ่งที่สำคัญก็คือ MM ว่าเราวางแผนการซื้อยังไง กี่ไม้ วันจันทร์ถึงศุกร์ ถ้าเริ่มเบรคเอาท์ตั้งแต่วันจันทร์ก็อาจจะทยอยซื้อไปบ้าง กว่าจะถึงวันศุกร์และสามารถปิดแท่งเทียนที่เหนือเบรคเอาท์ได้ก็จะได้ทุนที่ถูกลงมานิดนึง

จุดซื้อ ส่วนใหญ่จะเน้นซื้อตอนที่ Break out old high และสามารถยืนอยู่ได้(โวลุ่มมา) แสดงว่าหุ้นกำลังจะไปต่อ โดยให้คอยสังเกตแรงขาย และดูกราฟย้อนหลังว่า รันเวย์ยาวมากมั๊ย (ช่วงสะสมหุ้น) และจะเล่นกับ  Greed and Fear ของตลาด ช่วงแรกๆ ที่มันเบรกเอาท์ออกมา คนจะไม่กล้าเข้า เพราะเห็นว่ามันแพง พอมันวิ่งต่อไปสักพัก โบรกเริ่มมีบทวิเคราะห์ออกมา คนเริ่มสนใจ คนเริ่ม ไม่กลัวว่ามันจะตก มีแต่คนมองว่ามันจะไปต่อ ก็เลยกรูกันวิ่งเข้ามาซื้อ ตอนมันแพงกว่าเดิม (ตอนถูกๆ ไม่ยอมซื้อ เริ่มแพง ก็ยังไม่ซื้อ มาซื้อเอาช่วงปลายตลาดแล้วก็ติดดอย)

จุดซื้อเพิ่ม ก็จะเป็นจุดที่หุ้นพักตัว คือ EMA 10 ถ้ายืนอยู่ ก็แสดงว่าไปต่อได้ ให้เก็บเข้าสะสม

ส่วนจุดที่ขาย จริงๆ ก็มี 2 จุด ก็คือ
1.เมื่อกราฟหลุดเส้น EMA5อาจทยอยขายล๊อคทำกำไร EMA10 ถ้ายืนได้อาจใช้เป็นจุดรับคืน ถ้าหลุดลงไปอีกก็อาจเป็นจุดขายออกไปเพิ่มอีก แต่ถ้าหลุดเส้น 20 แล้วบางคนอาจทิ้งออกไปหมด (เพราะแสดงว่ากระทิงป่วยแล้ว รอมันกลับมาแข็งแรง กลับมายืนเหนือเส้นนี้ได้ก็ค่อยซื้อยังไม่สาย ไปเล่นตัวอื่นก่อน)
2.ให้คอยสังเกตรันเวย์ของหุ้น (ช่วง Accumulation) หลังจากหุ้นทะยานขึ้นไปแล้ว จะมีจุดที่มันพักตัวอยู่ หลังจากขึ้นไป (เหมือนคนขึ้นบันได) จะขึ้นๆ ขึ้นไปเรื่อยๆ (และโวลุ่มรินขายต้องเบาบางด้วย) แต่ถ้ามันทะยานแบบ Climax Top ก็ให้ดูหุ้นตัวนั้นไว้ให้ดี เพราะถ้าตามมาด้วยแท่งแดงที่โวลุ่มหนักๆ อาจเป็นเจ้าที่ออกของได้ (ใครจะไปลากหุ้นไหว ก็คนนั้นแหละเจ้า) ถ้าเค้าออกของไปแล้วก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องอยู่

สำหรับหุ้น Classic case study ของตลาดบ้านเราเลยก็คือ PTL, JAS หรือหุ้นอะไรก็ตามที่มีจ้าวเข้าชอบปั่น หรือพื้นฐานดีมีโบรกรองรับ อะไรพวกนี้ใช้ได้หมด

ระบบนี้จะใช้ได้ดีในช่วงต้นของตลาดกระทิง (ปลายหมีนั้นแล)// ของหุ้นนะ แต่บางทีตลาดรวมก็มีผล

ส่วนเรื่องเหตุผลเบื้องลึกจริงๆ ที่มันขึ้นระบบ CANSLIM เชื่อว่า มีวงใน รู้ข่าวผลประกอบการเสมอก่อนงบออก โดยคนพวกนี้มักจะเข้าไปสะสมหุ้น ก่อนงบออก ซึ่งกราฟมันฟ้อง เราก็ใช้ระบบนี้ในการตามรอยจ้าว
จริงๆ แล้วระบบนี้ เป็นระบบที่อิงพื้นฐานของหุ้นค่อนข้างมาก EPS ต้องเพิ่มขึ้นทุกปี (ในอัตราเร่งเท่าไรก็ว่าไป) และ Sale Growth ต้องเพิ่มขึ้นตาม EPS ด้วย (ไม่ใช่เพิ่มขึ้นอย่างใดอย่างนึง) ROE ก็ต้องสูง (บางคนใช้ 20% ซึ่งเบื้องลึกจริงๆ ต้องไปอ่านหนังสือเอา

เรียกได้ว่าเป็นระบบที่นำ Technical มาประยุกต์ใช้กับ Fundamental อย่างแท้จริง

ก็คงต้องอ่านเล่มนี้ให้จบโดยไว จะได้เติมเต็มความรู้ที่ได้มา  ขอบคุณอีกครั้งจริงๆครับพี่ท๊อป

-----

อีดิต
อ่อแล้วก็มีข้อควรระวังอยู่บ้าง ให้ระวังหุ้นที่มี % มาร์จิ้นสูง (กู้ได้เยอะ) เวลาวิ่ง จะวิ่งแรง แต่เวลาลงก็จะลงแรงเหมือนกัน (เพราะว่าโดน Force sell)

Popular posts from this blog

สถานการณ์ด้านพลังงานของประเทศไทย

KZM EURUSD System Explanation + 1st Week Result

เทคนิคอ่านงบการเงิน: ดร.วรศักดิ์ ทุมมานนท์

แนวคิดเกี่ยวกับระบบเทรด Forex ของผม [iCloud] และรายละเอียดอินดี้แต่ละตัว

จิตวิทยาการลงทุน : สุดารัตน์ ทิพยเทอดธนา